+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+...+..+..+..+.
①
火曜日
Tuesday
of Disorder
[Let’s survive]
อาคารรัฐสภา 06.39 AM
“สวัสดีครับ คุณมาโคโตะ”
“อืม” ซาโกะ มาโคโตะรับคำในลำคอ เห็นคุเสะ
ฮิบิกิเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสดชื่นแล้วอดทักถามไม่ได้ “เมื่อคืนหลับสบายไหม” แม้จะมีเวลานอนแค่ห้าถึงสี่ชั่วโมง
แต่ในทุกๆ เช้า ฮิบิกิก็สามารถส่งยิ้มสดชื่นให้กับมาโคโตะได้อย่างไม่มีปัญหา
“ครับ”
ตั้งแต่เข้ามาทำงานใน JP’s
ฮิบิกิมีห้องพักส่วนตัว เป็นห้องเดี่ยว
กว้างกว่าห้องที่เขาเคยพักอยู่กับไดจิในช่วงที่เกิดการต่อสู้กับโพลาลิส
ทั้งโทนสีและบรรยากาศของห้องก็เป็นสีขาวปลอดโปร่ง ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่หดหู่ เมื่อเทียบกับห้องเก่าที่มีสภาพและบรรยากาศชวนหม่นหมอง
ไม่ต่างจากห้องขัง
มาโคโตะมองวงหน้าอ่อนเยาว์ของฮิบิกิ แล้วเผลอนึกถึงตนเองในช่วงม.ปลาย
มาโคโตะ เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ
ตอนนั้นเธอจดจ่ออยู่กับการเป็นนักกีฬาและการแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนระดับเขตเท่านั้น
แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุ
ความฝันของเธอพังทลาย ท้ายที่สุด เธอเลือกที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตามคำแนะนำของผู้เป็นญาติ
กระทั่งถูกรัฐบาลเรียกตัวให้มาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่พิเศษของ
JP’s
ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างล้วนถูก
JP’s เชิญตัวมาทั้งนั้น
แต่คุเสะ ฮิบิกิ--------- เด็กคนนี้กลับเลือกที่จะมาที่นี่ด้วยความตั้งใจ
ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวที่จะตอบตกลง ทั้งยังเป็นคนทุ่มทั้งกำลังและเวลาให้กับ
JP’s --------
สถานที่ที่มีแต่เรื่องอันตรายมากกว่าใครๆ------------------------------------
ซาโกะ มาโคโตะนึกย้อนไป
หนึ่งปีก่อน เป็นช่วงที่ทุกๆ ปี JP’s
จะเริ่มทำการสำรวจประชากรเพื่อค้นหาผู้มีคุณสมบัติในการอัญเชิญปีศาจ และหนึ่งในกลุ่มคนธรรมดาที่จู่ๆ
ก็โดดเด่นขึ้นใน คือ คุเสะ ฮิบิกิ
หากเทียบกับผลของปีก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มยังเป็นคนธรรมดาที่มีค่าตัวแปรสัมประสิทธิ์ในการอัญเชิญไม่สูงเท่าไหร่
ดังนั้น ทันทีที่คุเสะ ฮิบิกิเรียนจบ ทาง JP’s
ก็ได้ทำการติดต่อส่วนตัวไปหา และเรียกมารายงานตัวเพื่อชี้แจ้งถึงรายละเอียดปลีกย่อยในส่วนต่างๆ
ของ JP’s
ขณะที่กำลังเล่าเรื่องถึงรายละเอียดต่างๆ
ทั้งเรื่องขององค์กรลับที่ทางรัฐบาลจัดขึ้น ปีศาจอัญเชิญ
การคงอยู่ของเขตแดนป้องกันพลังวิญญาณ รวมถึงเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่อาจทำให้ใครหลายๆ
คนหัวเราะ สวนกลับมาว่า ‘นี่คุณเล่าอะไรให้ผมฟัง’
แต่ คุเสะ ฮิบิกิ ------------- เขาเป็นคนแรกและคนเดียวที่นั่งรับฟังทุกอย่างด้วยความสงบ แตกต่างจากคนคนอื่นๆ
ที่พอเล่าไปเรื่อยๆ ก็มักชักสีหน้าตื่นตระหนก ระส่ำระส่ายเพราะความกังวล ดวงตาไม่ได้ทอดมองไปที่ไหนฉายความสงบนิ่งดุจผืนน้ำไร้ระรอก
ที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกหวั่นเกรงไม่ได้ยามหวนนึกถึง
‘ผมจะทำงานที่นี่’
มาโคโตะไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการเรียน
มีสิทธิ์สอบเข้ามหาวิทยาลัยโด่งดังหลายแห่งเลือกจะละทิ้งโลกอันแสนสงบสุข และเข้ามาทำงานที่
JP's แทน
จะให้กล่าวว่าเป็นเรื่องของความขัดสนก็เกรงว่าจะไม่ถูกต้อง
เพราะในวันที่เซ็นสัญญาทำงานร่วมกับ JP’s เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะปรายตามองตัวเลขในกระดาษเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น พอเห็นใครสักคนมีความมุ่งมั่นให้กับ
JP’s มากมายขนาดนี้ มันเลยทำให้ทีแรก
มาโคโตะอดระแวงในตัวของฮิบิกิไม่ได้ มาโคโตะเลยนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้กับคนเป็นผบ.
พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าบางที
คุเสะ ฮิบิกิ อาจเป็นกบฏแฝงตัวเข้ามา
แต่ยามาโตะกลับหัวเราะเยาะเบาๆ และพูดกับหญิงสาวว่า
‘ดื้อด้านซะขนาดนั้น เจ้าพวกฝั่งกบฏพวกนั้นไม่มีปัญญาคุมเขาอยู่หรอก’
คำพูดนี้ พาให้มาโคโตะคลายความข้องใจในตัว
คุเสะ ฮิบิกิ ไปได้หลายส่วน ขณะเดียวกันก็พาให้เธอรู้สึกสงสัยความสัมพันธ์ของผบ. และตัว
คุเสะ ฮิบิกิ
เหมือนกับ--------------- เคยรู้จักกันมาก่อน------------------?
แต่มันจะเป็นไปได้ไง มาโคโตะทำงานร่วมกับยามาโตะมาสามปี เธอไม่เคยเห็นหัวหน้าหยุดงานเลยสักวัน
ฮิบิกิเองก็เคยบอกกับเธอแล้วว่าตนเพิ่งพบกับยามาโตะครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อน--------------
แต่--------------
ทำไมบางครั้ง เธอเอง----- ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าทั้งผบ. คุเสะ ฮิบิกิ
แล้วก็ตัวเธอเคยพบกันมาก่อน-------------------------------------------------?
“บางครั้งเธอจะกลับไปพักที่บ้านเธอบ้างก็ได้นะ”
“ครับ----?”
“เธอไม่คิดจะกลับบ้านหน่อยหรือ”
มาโคโตะถามอย่างเป็นห่วง
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นมือขวาให้กับ โฮซึอิน
ยามาโตะ เลยทำให้ต้องแบกรับภาระยุ่งยากหลายๆ
อย่างมากกว่าคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีเวลากลับไปผักผ่อน หรือกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านนานๆ ครั้ง
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มาโคโตะเฝ้าจับตาดู
คุเสะ ฮิบิกิ มาตลอด และมั่นใจว่าเด็กหนุ่มแทบจะไม่ได้กลับบ้านของตนเลยสักครั้ง
แม้แต่ในงานเทศกาลหรือวันหยุด ฮิบิกิเลือกจะนอนค้างอยู่ที่ JP’s
แทนที่จะกลับบ้าน ไม่ก็แบ่งเวลาว่างส่วนใหญ่ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ
มากกว่าการอยู่กับครอบครัว
ดวงตาสีฟ้าหลุบลง “-------ก็ใช่ว่าไม่เคยหรอกครับ”
ทุกวันนี้ ฮิบิกิเลือกที่จะอยู่ห้องพักที่ JP’s แทนที่จะกลับบ้าน-------------
บ้านที่เขาไม่อยากจะกลับไปสักเท่าไหร่------------------------------------
“พ่อแม่เธอเขาจะไม่เป็นห่วงเอาหรือ” ถามอย่างให้ย้ำคิด ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมากลับทำให้หญิงสาวไปไม่เป็น
“ไม่รู้สิครับ”
คำตอบนั้น------- ไม่น่าจะใช่คำตอบที่หลุดออกจากปากของ คุเสะ ฮิบิกิ
เลย
ครั้นมองที่ใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นอีกครั้ง
มาโคโตะรู้ได้เลยว่าตนก้าวพลาดเสียแล้ว
รอยยิ้มกระจ่างบนใบหน้า------- กับดวงตาที่เหมือนกับ ‘ไม่อยากคาดหวัง’---------- คือสิ่งที่เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นมันจาก
คุเสะ ฮิบิกิ
คนเราต่างประสบเรื่องราวในชีวิตแตกต่างกันออกไป บางคนเจอปัญหาเล็ก แต่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่
บางคนเจอปัญหาใหญ่แต่สามารถจัดการรับมือกับมันได้ แต่เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสังคม
ในบางครั้งก็จำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างโดยเฉพาะจากครอบครัว เหมือนกับในครั้งที่มาโคโตะประสบอุบัติเหตุ
ร่างกายที่บาดเจ็บครั้งนั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่คอยตอกย้ำว่าเธอได้สูญเสียความฝันของตนไปแล้ว
และคนที่คอยประคองไม่ให้เธอทำตัวไร้จิตวิญญาณก็คือบรรดาญาติคนอื่นๆ
ที่มักมาเยี่ยมเยียน เอ่ยปลอบโยนเธอด้วยความห่วงใย
แต่คำตอบที่เฉยชาของ คุเสะ ฮิบิกิ พาให้คนฟังอย่างมาโคโตะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
แต่หญิงสาวก็ไม่สิทธิจะเอ่ยตักเตือนหรือเข้าไปก้าวก่าย
เพราะนั่นจะหมายความว่าเธอกำลังล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของ คุเสะ ฮิบิกิ
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คุกรุ่นด้วยความอึดอัด
ฮิบิกิเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
“แล้วยามาโตะละครับ” การเปลี่ยนเรื่องกะทันหันไม่ทำให้คนอย่าง ซาโกะ มาโคโตะ
ตอบสนองอย่างเชื่องช้า
“ผบ.เข้าห้องประชุมไปแล้ว”
ตามกำหนดการ การประชุมเริ่มช่วงเก้าโมงเช้า
แต่มารยาทการรับประทานอาหารร่วมกันก่อนของคนในรัฐสภาสูงคือสิ่งที่ โฮซึอิน ยามาโตะ หลีกเลี่ยงไม่ได้
มาโคโตะรู้ว่าผบ.ของเธอไม่ชอบหน้าพวกสมาชิกในรัฐสภาสักเท่าไหร่
แต่ถึงจะรู้ เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเฝ้ารอการกลับมาของเด็กหนุ่มอยู่ด้านนอกเงียบๆ
“แล้วเธอล่ะ มาที่นี่ทำไม”
“ผมมาคุยกับยามาโตะน่ะครับ”
ฮิบิกิโคลงหัว “ผมมีเรื่องจะคุยกับเขานิดหน่อย”
“งั้นเหรอ------ ถ้างั้นคงต้องรอนานหน่อยนะ”
ฮิบิกิคลี่ยิ้มบางให้กับหญิงสาว “สบายมากครับ”
เวลาหมุนผ่านไปเชื่องช้า จากสิบนาทีเป็นหนึ่งชั่วโมง หากคนสองคนก็ยังคงยืนอยู่หน้าประตูเพื่อเฝ้ารอใครอีกคนในห้องนั้น
ฮิบิกิที่กำลังยืนพิงกำแพงข้างประตูห้องประชุมกดโทรศัพท์ ไล่หาข้อมูลของคนในสภาระดับสูงทั้งสิบสองคนอย่างละเอียด
โดยไม่ลืมที่จะอ่านข่าวสารทั่วไปที่มักมีคำกล่าวยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของคนในรัฐสภา
สลับกับข่าววงใน-----------
ที่มีแต่เรื่องไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่-------------------------------
มือกำโทรศัพท์แน่น ขุ่นเคืองในตนเองที่ในตอนนี้
ตนไม่มีอำนาจพอจะยื่นมือเข้าไปช่วยเจ้าของดวงตาแสนเย็นชาคนนั้นได้
เพราะต้องเจอกับคนแบบนี้มาตลอด ยามาโตะเลยบอกว่าคนที่มีความสามารถเท่านั้นถึงจะเป็นผู้นำสินะ
ถูกหล่อหลอมให้กลายมาเป็นคนที่ต้องแบกรับทุกอย่างเพียงลำพัง
ท่ามกลางผู้คนที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นเขา เขาคงคลั่งตายไปแล้ว
นิ้วกดปุ่ม สายตาไล่เรียงไปตามแต่ล่ะตัวอักษร ก่อนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างในข้อมูลของแต่ละคน
นี่มัน------------
ตาสีฟ้าทอแสงวาววับกับความผิดปกติ ฮิบิกิเพ่งสมาธิ
จดจ่อกับข้อมูลเบื้องหน้า ด้วยสมาธิที่ถูกรวมไว้ในจุดจุดเดียว ทำให้ฮิบิกิลืมไปว่ามาโคโตะยังยืนอยู่ข้างๆ
มาโคโตะที่เห็นฮิบิกิทำหน้าจริงจังเรียกอย่างสงสัย “คุเสะ ฮิ-----------------------------”
ตี๊ด----------------------! ตี๊ด-------------! โทรศัพท์ในมือถือของมาโคโตะเปล่งเสียงร้องขึ้นมาก่อน หญิงสาวมองรายชื่อคนที่ติดต่อมาหาเธอ
ก่อนเลิกคิ้ว ขยับออกห่างฮิบิกิเล็กน้อย และกดรับสาย
“ค่ะ ดิฉัน ซาโกะ มาโคโตะ”
คุยสายได้ราวสองนาทีเศษ มาโคโตะก็กดตัดสาย และหันมาบอกกับฮิบิกิ “เธอไปทำงานก่อนก็ได้นะ กว่าหัวหน้าจะออกมาก็คงอีกราวๆ สองชั่วโมง
ฉันต้องไปคุมห้องบัญชาการแทนท่านผบ.ก่อน ถ้ามีอะไรติดต่อหาฉันได้ตลอด”
ฮิบิกิยิ้มขอบคุณ “ครับ” ทว่าก่อนที่มาโคโตะจะเดินออกไป ฮิบิกิรีบเอ่ยรั้งไว้
“คุณมาโคโตะ”
“มีอะไรหรือ”
“จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะขอให้คุณมาโคโตะช่วยส่งหน่วยพิกัดที่ช่วงนี้มีการถูกรุกรานให้หน่อยได้ไหมครับ
วันนี้ผมจะออกไปหาข้อมูลสักหน่อย”
“ได้ ฉันจะส่งผ่านทางข้อความไปให้” มาโคโตะเตือน “เธอเองก็ระวังตัวด้วยนะ” แม้จะเคยเห็นความสามารถของ คุเสะ ฮิบิกิ ประจักษ์ตามาแล้ว เธอก็ยังอดกังวลไม่ได้
เพราะนี่ถือเป็นภารกิจสืบข่าวครั้งแรกของฮิบิกิ แถมยังทำเพียงคนเดียวอีกต่างหาก
“ครับ------------- และถ้าเป็นไปได้
ผมอยากจะขอประวัติของคนในสภาระดับสูงด้วยได้ไหมครับ”
มาโคโตะมองฮิบิกิด้วยสายตาจ้องจับผิด “เธอคิดจะทำอะไร”
“นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคนพวกนั้นนะครับ” ฮิบิกิบอกเสียงหนักแน่น ยื่นโทรศัพท์มือถือของตนที่โชว์ข้อมูลซึ่งฮิบิกิเอามาเรียบเรียงอย่างรายละเอียดไปทางมาโคโตะ
“เพราะดูเหมือนว่ายามาโตะจะเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ"
.+..+..+..+..+..+..+..+..+.
เวลาสิบโมงครึ่ง การประชุมสิ้นสุดลง บุคคลในสภาระดับสูงทั้งสิบสองคนเดินออกจากห้องไปก่อนตบท้ายด้วย
โฮซึอิน ยามาโตะ ผู้อาวุโสน้อยที่สุดเดินออกจากห้องประชุมเป็นคนสุดท้าย
วงหน้าหล่อเหลาปราศจากอารมณ์ กระแสอำนาจที่ข่มให้ใครทุกคนต้องหวาดกลัว
แสงทอคมปราบในดวงตาบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้เขามีเป้าหมายมั่นคงอยู่ในใจแล้ว
ใครก็ตามที่คิดจะขัดขวางแผนของเขา--------
ก็คือศัตรู-----------------------
เท้ายาวสาวออกจากประตูห้องประชุม
ก่อนชะงักเมื่อหางตาสะดุดอยู่กับเสื้อคลุมฮู้ดหูกระต่ายสีดำแสนคุ้นตา และตอนนี้ ใครคนนั้นที่ว่าก็กำลังจดจ้องหน้าโทรศัพท์สีฟ้าสั่งทำพิเศษในเครือของ
JP’s
ใครคนนั้นทักถาม
“นายดูอารมณ์ไม่ดีนะ ยามาโตะ”
คิ้วซ้ายเลิกสูง “นายบอกกับฉันเมื่อคืนว่าจะไปหาข้อมูลไม่ใช่หรือ
ฮิบิกิ”
“----------เมื่อคืนฉันบอกแล้วว่า
'เจอกันตอนเช้า' ต่างหาก" แม้จะไม่แสดงออกมาโดยตรง แต่เมื่อสบลึกเข้าไปในดวงตาสีอเมทิส
ฮิบิกิสามารถมองเห็นได้ถึงเค้าลางของพายุบางๆ -----------
"การประชุมเป็นไงบ้าง”
ยาโมโตะพูดอย่างเย็นชา "เข้าเรื่องได้แล้ว"
"จู่ๆ ช่วงนี้
ข่าวของพวกสมาชิกระดับสูงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉ้อโกงบ้าง
หนีภาษีบ้าง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยมีให้เห็นแท้ๆ
ไม่มีทางที่นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ--- ต้องมีใครบางคนจงใจเอาความลับมาเปิดเผย
ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือใคร แต่---------------- ฉัน---- คิดว่าฉันรู้นะ----"
ฮิบิกิยักไหล่ ท่าทางผ่อนคลายจนดูเหมือนไม่ใส่ใจ
แค่ยกอ้างขึ้นมาเป็นประเด็นในการพูดเฉยๆ และนั่นทำให้คนฟังพาลอารมณ์ไม่ดีกับท่าทีที่ไม่อาจคาดเดาได้ของคนตรงหน้า
"นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่-------?"
ฮิบิกิโคลงศีรษะทีหนึ่ง "ฝีมือของนายสินะ----
ยามาโตะ-----------?" ตาช้อนขึ้นสบอย่างวาวโรจน์ “คิดจะเก็บคนพวกนั้นให้หมดเลยหรือ?”
ยามาโตะถามย้อน "ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
ยามาโตะไม่ต้องการให้ฮิบิกิยื่นมือเข้ามาเกี่ยว
หรือถ้าฮิบิกิยังเลือกที่จะยื่นมือเข้ามา----- เขาก็จะไม่อ้อมมือให้อีกฝ่ายเด็ดขาด
“นายห้ามฉันไม่ได้หรอก"
ถ้าหากไม่ถอนรากถอนโคนต้นตอความชั่วร้ายทั้งหมด
เรื่องเหล่านี้ก็จะดำเนินต่อไปไม่จบไม่สิ้น ยามาโตะมั่นใจว่าฮิบิกิรู้ ถ้างั้นทำไม-----------?
หากความสงสัยในใจก็ได้อันตรธานหายไป
เมื่อได้ยินคำตอบต่อมาของฮิบิกิ
"ฉันไม่คิดจะห้ามนายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"
ฮิบิกิพับโทรศัพท์เก็บเข้าเสื้อคลุม แผ่นหลังผละจากกำแพง
เดินมาประจันหน้ายามาโตะอย่างไม่เกรงกลัว และเอ่ยข้อมูลที่ตนใช้เวลาเก็บเกี่ยวมากกว่าสองชั่วโมงออกมา
“แต่ว่า-----------
ฉันจำเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐสภาได้ครบทุกคนแล้ว ทั้งประวัติส่วนตัว ข้อมูลที่อยู่
รวมถึงคนรอบข้างของแต่ละคน ถ้าฉันรู้ว่ามีใครบางคนในกลุ่มของเจ้าหน้าที่ระดับสูง
หรือคนบริสุทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ประสบอุบัติเหตุ
หรือเสียชีวิตไปกะทันหันล่ะก็-----------------------”
ดวงตาใต้ฮู้ดสีดำเหมือนจะทอแสงเรืองรอง
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเป็นเอกลักษณ์ส่อถึงเค้าจริงจัง
“เราจะได้เห็นดีกันแน่------- โฮซึอิน
ยามาโตะ-------------------------------------”
นี่คือ----- คำประกาศเป็นศัตรู---
ฮิบิกิจำเรื่องที่โรนัลโด้บอกว่าตนโดนยามาโตะสั่งปิดปากหลังจากได้รับรู้ความลับของตระกูลโฮซึอิน
แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่โรนัลโด้พูดเป็นความจริงหรือเปล่า
เพราะเขาไม่เคยถามกับเจ้าตัวโดยตรง หรือต่อให้ถาม คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นก็อาจเป็นเรื่องจริงหรือไม่ฮิบิกิก็ยังไม่รู้
ดังนั้น-------- เขาจะค้นหา ‘ความจริง’ จากยามาโตะที่ยืนอยู่ ‘ตรงนี้’
ยามาโตะปรายตามอง “ฉันไม่คิดจะฆ่าคนพวกนั้นอยู่แล้ว---------------”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา โฮซึอิน ยามาโตะ ไม่เคยคิดจะฆ่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มจำใจปิดตาข้างหนึ่ง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นหรือรับฟังเสียงนกเสียงกา
ปล่อยให้คน----- ขยะเหล่านั้นนั่งสะดวกสบายอยู่บนเก้าอี้หรูหรา อยู่กับคุณภาพชีวิตอันเฟื่องฟู
เพราะยังไงซะ หมากที่ไม่คิดเรื่องอะไรอื่นนอกจากเรื่องของตัวเอง-----
ย่อมเป็นหมากที่ใช้งานง่ายที่สุด-----------------
เจ้าขยะที่ได้คิดผยองว่าตนเหนือกว่าใครๆ สุดท้ายก็เป็นแค่หมากที่ใช้แล้วทิ้งอยู่บนอุ้งมือของเขา------
แต่ในตอนนี้ โฮซึอิน ยามาโตะไม่มีความคิดแบบนั้นอีกแล้ว
ในเมื่อ------------------------ คนตรงหน้าเองไม่ใช่หรือ ที่บอกกับเขาเองว่าทุกคนต้องเปลี่ยนไปด้วยกัน
ค่อยๆ เปลี่ยนโลกด้วยก้าวเล็กๆ----------- ค้นหาคนที่ไม่ใช่ขยะขึ้นเป็นตัวแทนให้กับประชาชนที่ดี
สร้างหนทางใหม่ ผลักดันไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง-------------------------
ฮิบิกิพยักหน้า ยิ้มบางๆ ดวงตาใสฉายความสุขกับคำตอบของยามาโตะ “ฉันดีใจที่นายไม่คิดจะฆ่าพวกเขา”
ยามาโตะกอดอก พินิจอีกฝ่ายอย่างรอบคอบ “นายมารอฉันที่นี่หลายชั่วโมงเพื่อคุยเรื่องพรรค์นี้”
“ใช่”
“หึ ไร้สาระ”
ยามาโตะแค่นเสียงหัวเราะเยาะ
อารมณ์ไม่ดีจากก่อนหน้านี้เบาบางลงจนแทบไม่หลงเหลือเมื่อเห็นยิ้มยินดีเล็กๆ
ของคนตรงหน้า “ชีวิตของเจ้าพวกนั้นมีค่าให้นายต้องปกป้องด้วยงั้นเหรอ” ก่อนรอยยิ้มดูถูกจะถูกลบเลือน เมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“สิ่งที่ฉันกำลังปกป้องอยู่ตอนนี้
ไม่ใช่คนพวกนั้น-------------------“
ฮิบิกิยัดมือเข้าไปซุกในเสื้อกระเป๋า ดวงตาไม่สะท้อนอะไรนอกจาก ‘โฮซึอิน ยามาโตะ’
“แต่เป็น ‘นาย’--------ยามาโตะ--------------------”
จะไม่ปล่อยให้นายต้องเดินไปเพียงลำพังเด็ดขาด ยามาโตะ-----------
นี่--- เป็นปณิธานที่เขามีให้กับตนเอง ---- ปณิธานที่ผลักดันให้เขามายืนอยู่ตรงนี้---------------
ก็เพื่อ-------- เคียงข้าง ‘หมอนี่’ -----------------
เคียงข้าง ‘โฮซึอิน ยามาโตะ’-------------------
ความเงียบร่วงโรยดุจการร่วงหล่นของละอองหิมะ
สรรพสิ่งดูเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ หากแท้จริงแล้วเวลาก็ยังเคลื่อนไปด้านหน้า
การเคลื่อนไหวแรกมาจากร่างสูงในชุดผู้บังคับบัญชา
โฮซึอิน ยามาโตะ ขยับประชิดกายของคนอีกคน
ก้มหน้ามองใบหน้าที่อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์สายตา
ตาสบตา ไม่มีใครหลบ หรือเบี่ยงออก
ยามาโตะเพ่งมองดวงตาสีฟ้าใสที่เงยขึ้นสบอีกครั้ง
ท่าทางปราศจากร่องรอยความขวยเขิน มีแต่ความซื่อตรง
แน่วแน่ไม่ไหวหวั่นทั้งในน้ำเสียงและแววตา ปัจจัยเหล่านี้พาให้ยามาโตะที่พยายามเก็บกักความรู้สึกที่ไม่เคยอธิบายมันได้สักครั้งแทบคุมตนเองไม่อยู่
ท้ายที่สุด เด็กหนุ่มก็ไม่อาจหักห้ามใจที่จะไม่แตะต้องคนตรงหน้าได้
ปลายนิ้วใต้ถุงมือดึงฮู้ดหูกระต่ายสีดำลง และเลื่อนไปเกี่ยวรั้งเส้นผมบางส่วนที่เกลี่ยระผิวแก้ม
เผยดวงตาสีฟ้ากระจ่างข้างซ้ายที่มองสบนิ่ง
เกมส์จ้องตาดำเนินต่อสักพัก ก่อนร่างสูงกว่าจะค่อยๆ
โน้มวงหน้าเย็นชาเข้าใกล้ จงใจให้ริมฝีปากเย็นเฉียบแตะแผ่วๆ ที่ริมหูนิ่ม
เสียงทุ้มพร่ากระซิบ
“นายเป็น ‘ของฉัน’ คุเสะ ฮิบิกิ”
ถ้อยคำที่ไม่ได้ถูกชักพามาด้วยอารมณ์หวานลึกซึ้งหรือความหมายซับซ้อนให้ครุ่นคิด
ไม่ได้ต้องการสื่อถึงความหมายใด เพียงแค่อยากเอ่ยออกมาตามที่ใจคิด
แม้มันอาจเป็นถ้อยคำที่ชวนให้รู้สึกเหมือนคู่รัก แต่ยามาโตะก็คิดอะไรไม่ออก
เพราะหากต้องให้สรรหาถ้อยคำที่เหมาะกว่านี้ เห็นที ในโลกนี้คงไม่มีอีกแล้ว
เช่นเดียวกับฮิบิกิ เขารู้ว่ายามาโตะไม่ได้คิดอะไร
เหมือนกับที่เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรเช่นกัน
เพราะต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่าแต่ละคนคือ ‘คน’ ที่ต้องจับประคับประคอง
ช่วยพยุงสิ่งที่อีกฝ่ายแบกรับและก้าวเดินไปเรื่อยๆ
ในตอนนี้
มันเลยกลายเป็นสิ่งที่สามารถยืนยันสถานะของพวกเขาสองคนได้ดีที่สุด----------------------------
ในฐานะ ‘คน’ ที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน-----------
ผ่านไปหลายนาที ฮิบิกิค่อยๆ เอนหัวออกเมื่อลมหายใจอุ่นของยามาโตะยังคงพ่นรดลงต้นคอ
ชวนให้รู้สึกจักจี้ ตาสีฟ้าใสมองยามาโตะเหมือนสื่อแววตำหนิว่านายควรยื่นหัวนายกลับไปได้แล้ว
“ถ้าหมายถึงเป็นให้นายใช้หมากล่ะก็ฉันไม่ยอมแน่” รู้ทั้งรู้ว่ายามาโตะไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ก็ไม่อาจห้ามใจที่จะพูดกระทบกระทั้งถึงเรื่องคราวก่อน
“หึ” ยามาโตะผละถอย ระบายยิ้มบางดูมีพิรุธชอบกล
“ก็แล้วแต่นายจะคิด”
ปราศจากคำพูดอื่นใด วินาทีถัดมา ยามาโตะเบี่ยงตัวหลบ ก้าวสวนผ่านฮิบิกิ
และตรงไปยังห้องบัญชาการโดยไม่แม้แต่จะหันมองคนด้านหลัง
เสียงฝีเท้าของร่างสูงที่เบาลงไปเรื่อยๆ ฮิบิกิยืนนิ่ง
ปลายนิ้วยื่นแตะติ่งหูที่เหมือนจะเหลือไออุ่นของริมฝีปากบางเฉียบของใครอีกคน
ครั้นความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในอกซ้ายเบาบางลงจนแทบไม่รู้สึกอะไรอีก
ฮิบิกิก็ดึงฮู้ดหูกระต่ายสีดำกลับมาคลุมศีรษะอีกครั้ง และออกแรงก้าวเดินไปตามทางที่ตนนึกไว้ดังใจ
.+..+..+..+..+..+..+..+..+.
เวลาบ่ายโมง ที่เขตชินจูกุ บนท้องถนนที่ถูกโอบล้อมด้วยตึกระฟ้า
แสงสีมากมายของหลอดไฟประดับประดาตามทางเดิน แม้จะเป็นเวลากลางวันก็ยังมีการเปิดไฟยิบยับให้เห็นเป็นโลกหลากสีโทน
ฮิบิกิในชุดเสื้อคลุมฮู้ดสีดำของทาง
JP’s แต่เสื้อในเป็นลายแถบสีขาวฟ้า
ทำให้ดูเหมือนการแต่งตัวเข้าเมืองมากกว่าออกไปทำภารกิจเดินไหลไปตามกระแสคลื่นของผู้คนอย่างกลมกลืน ทั้งเขายังเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ตลอด
เห็นแล้วใครๆ ก็คงคิดว่าฮิบิกิกำลังเล่มเกมหรือคุยไลน์กับเพื่อน ไม่ใช่กำลังเพ่งมองกำลังฉายภาพพิกัดตำแหน่งสถานที่ที่เคยเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนปริศนา
เช่นเดียวกับหูฟังที่ใครหลายๆ คนอาจคิดว่าฮิบิกิกำลังใช้ฟังเพลงแก้เบื่อก็กำลังถูกใช้ในการฟังเจ้าเสียงหน้าที่สาวที่ยามาโตะบอกมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวชั่วคราว
- เดินตรงไปอีกสิบเมตรจะเป็นทางม้าลายค่ะ
คุณคุเสะจะให้ฉันปรับเวลาการจราจรให้เร็วขึ้นเพื่อสะดวกต่อการเดินทางหรือไม่
-
"ไม่ต้องหรอกครับ"
- ถ้าอย่างนั่น
รออีกประมาณสองนาทีกับอีกสิบเอ็ดวินาทีนะค่ะ -
"ครับ"
- ถ้าพบอะไรผิดปกติ
รีบแจ้งดิฉันด้วยนะค่ะ -
"ขอบคุณมากครับ"
ฮิบิกิยิ้มชืด สัญญาณของเจ้าหน้าที่สาวขาดหายไปแล้ว
และเสียงหูฟังของเขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเสียงเพลงคลอเบาๆ
แบบที่เขาชอบ-------------
JP's รู้ทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ครอบครัวหรือแม้แต่งานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ-------
ช่วงหนึ่งปีตอนมาทำงานกับ
JP’s
ฮิบิกิรู้ว่ามาโคโตะนึกสงสัยเขาและนั่นทำให้ข้อมูลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กๆ
น้อยๆ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็ยังถูกสืบค้นจนได้ แม้จะเคยรู้สึกลำบากใจกับการถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว
แต่นั่นมันก็แค่เมื่อก่อน---- แต่------------- อา ไม่รู้สิ
มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ทั้งๆ ที่ควรจะกลัวกลับการถูกล่วงรู้ทุกเรื่องราวของตนเอง
แต่ในตอนนี้---------- ฮิบิกิกลับคิดว่ามันช่างสะดวกสบายเหลือเกิน
แม้จะเป็นความสะดวกสบายที่ต้องแลกมากับการละทิ้งโลกอันแสนธรรมดา
ปราศจากเรื่องการไล่ล่า และการต่อสู้-----
ฮิบิกิคิดถึงเรื่องราวต่อจากนี้
ถ้าวันใดวันหนึ่งตนเองไม่ได้ทำงานที่
JP's และต้องกลับไปใช้ชีวิตปกติแสนจะธรรมดาอีกครั้ง ถึงตอนนั้นการมองโลกของเขาจะเป็นเช่นไรต่อไปนะ-------
เขา-----------
คิดไม่ออกเลยจริงๆ
คิดถึงอนาคตที่แสนห่างไกล
ก่อนรอยยิ้มขื่นจะหุบลงเมื่อย้อนนึกถึงเหตุผลอันแท้จริงที่ทำให้เขามายืนอยู่ที่ชินจูกุ
เขามาตามหาโรนัลโด้
นับตั้งแต่กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ฮิบิกิได้ลองใช้เส้นสายของ
JP’s สืบประวัติของทุกคนที่เขารู้จัก ทั้งเคตะ, ฮินาโกะ, ยุซุรุ, จุงโกะ, เอริ และโอโทเมะ พวกเขาทุกคนกลับมามีชีวิตโดยปราศจากความทรงจำในช่วงเจ็ดวัน
รวมถึงโรนัลโด้ ที่ตอนนี้ได้ทำงานเป็นหน่วยข่าวกรองลับให้กับตำรวจ และยังเป็นคนกุมความลับของนักการเมืองหลายคน
ซึ่งรวมถึงรัฐสภาระดับสูงบางคนอีกด้วย
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อน มีข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เป็นรายงานข่าวเกี่ยวกับหนึ่งในผู้นำระดับสูงได้ถูกกลุ่มโจรปีนขึ้นบ้าน
ช่วงชิงทรัพย์สินมีค่าไปส่วนหนึ่ง แต่โชคดี ที่ข้อมูลลับของรัฐสภาที่เก็บอยู่ในที่เดียวกับที่เก็บทรัพย์สินไม่ได้ถูกทำให้บุบสลายหรือสูญหายไป
ข่าวนั้น ทำให้ทางตำรวจออกตรวจสอบพื้นกันมากขึ้น กระทั่งสามารถจับกุมคนร้ายที่เป็นตัวการหลักได้
แต่น่าเสียดาย ผู้ร่วมขบวนการอีกห้าคนยังคงลอยนวล
ดูผิวเผิน อาจดูเหมือนแค่ขโมยขึ้นบ้านธรรมดา ทว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกับวันเกิดเหตุ
ในบริเวณใกล้ๆ กันนั้นได้มีเหตุทำร้ายร่างกายกันระหว่างกลุ่มคนชุดดำและกลุ่มคนธรรมดากลุ่มหนึ่งซึ่งได้อ้างว่าตนเพิ่งกลับจากร้านเหล้า
หลังฉลองทำงานสามปีจนได้ขึ้นเงินเดือน ก่อนมาเจอกลุ่มคนท่าทางลับๆ ล่อๆ ในชุดดำ
และโดนทำร้าย
แม้จะเป็นข้อสงสัยว่ากลุ่มคนสวมชุดดำที่มีราวๆ กันสี่ห้าคนนี้อาจเป็นกลุ่มเดียวกับโจรที่บุกปล้นบ้านของผู้นำรัฐสภาและยังลอยนวลอยู่
แต่สุดท้าย ทั้งสองคดีนี้ก็ได้ถูกจับแยกออกจากกัน ด้วยสาเหตุเพราะมีความเป็นไปได้น้อยมากหากกลุ่มคนร้ายจากสองคดีจะเป็นคนเดียวกัน
เนื่องจากระยะห่างของที่เกิดเหตุที่อยู่ห่างกันมากเกินไปในช่วงระยะเวลาที่กะชันชิดเพียงไม่กี่นาที
และจากที่ฟังคำให้การของกลุ่มพนักงานเงินเดือนที่ถูกทำร้าย
พวกเขายังบอกอีกว่าคนร้ายทั้งห้ามาตัวเปล่า ไม่ได้ถือกระเป๋าที่หอบของมีค่าอะไรเลย
นั่นคือสิ่งที่ผู้ประกาศข่าวได้ให้ข้อมูลแก่ประชาชน
แต่ในเบื้องหลังแล้ว กลุ่มพนักงานธรรมดาที่ไปถูกทำรายร่างกายที่ว่านั่น
แท้จริงแล้วก็คือกลุ่มตำรวจหน่วยข่าวกรองที่กำลังสืบหาข่าวในบริเวณใกล้เคียงนั้น
และหนึ่งในนั้น มี โรนัลโด้ประจำการอยู่ด้วย-------------------------------------
ฮิบิกิจะไม่คิดเอาเรื่องนี้มาเก็บครุ่นคิดหลายคืนเลย หากไม่ใช่เพราะในคืนวันที่โรนัลโด้ถูกทำร้าย------
Box ลับของโรนัลโด้ได้อัพเดทข้อมูลใหม่
Box ลับที่ว่านี้คือกล่องเก็บข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกเกี่ยวกับข้อมูลการทำงานทั้งหมด
ในช่วงเวลาเจ็ดวันของการตัดสินของโพลาลิส
นอกจากแฟลชไดซ์ที่บรรจุข้อมูลของตระกูลโฮซึอิน
และข้อมูลของปีศาจแต่ล่ะตัวที่โรนัลโด้เอามาให้กับฮิบิกิ
ยังมีแผนการเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกเก็บอยู่ใน Box ลับที่โรนัลโด้เป็นคนให้รหัสลับกับเขาเอง----------
ไม่มีใครรู้เรื่องที่ฮิบิกิมีรหัสของ Box ลับ ------------ ไม่แม้แต่ยามาโตะ------------
และในช่องข่าวสาวของ Box ลับที่อัพในคืนเกิดเหตุ
โรนัลโด้ได้บอกเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ว่าตนได้ [ข้อมูลบางอย่าง]
มาระหว่างการปะทะกับกลุ่มคนปริศนาซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ทำร้ายตนเมื่อคืนวันเกิดเหตุ
และ [ข้อมูลบางอย่าง] ที่ว่านี้---
คือ สิ่งที่ทำให้ฮิบิกิตัดสินใจออกโรงสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เพราะมัน------ คือข้อมูลที่อธิบายเกี่ยวกับการพื้นงานทุกส่วนของภาครัฐ------
ระบบการเงิน---------- ความมั่นคงระดับประเทศ----------- ทุกๆ อย่าง แม้กระทั่งการคงอยู่ขององค์กรลับอย่าง
JP’s ------------------- ซึ่งได้ถูกบันทึกแบบคร่าวๆ ใน
Box ของโรนัลโด้ทั้งหมดแล้ว
[ความลับ] ที่โรนัลโด้ได้มา--------
เก็บข้อมูลทั้งหมดของประเทศไว้----------------------------------------
ฮิบิกิเรียบเรียงความคิดทั้งหมดเข้าด้วยกัน
มีความเป็นไปได้สูงที่ [ความลับ] ที่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ขโมยมาจากบ้านของผู้นำรัฐสภาระดับสูง
เท่านี้ก็จะสอดคล้องกับคำให้การของพวกโรนัลโด้ที่กล่าวว่าคนร้ายพวกนั้นไม่ได้มีขนข้าวของมีค่าอะไรไปเลย
นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกนั้นแสร้งจัดเหตุการณ์ให้ดูเหมือนมีโจรขโมยขึ้นบ้าน ทั้งๆ
ที่จริงแล้วสิ่งที่พวกมันต้องการคือ [ความลับ] นี้----- และการที่ผู้นำรัฐสภาคนนั้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร
ก็มีความเป็นไปได้อีกว่าสิ่งที่เก็บ [ความลับ] นี้อาจโดนสับเปลี่ยนให้เป็นของปลอม เพื่อหลอกให้คิดว่าตนขโมยแต่ของมีค่า ไม่ใช่ข้อมูล
----------แม้จะขัดกับหลักเรื่องระยะห่างของสถานที่เกิดเหตุกับช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันเกินไป
ทว่าหากตัดความเป็นไปได้ของศักยภาพทางร่างกายออก-------
เพราะการใช้แอปอัญเชิญล่ะ----?
ถ้ากลุ่มคนที่ก่อสองคดีนี้คือกลุ่มเดียวกับกลุ่มคนปริศนาใช้เว็บอัญเชิญผิดกฎหมายและสร้างความก่อกวนที่ทาง
JP’s กำลังตามล่าตัวอยู่
เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ที่สองคดีนี้จะเชื่อมโยงกันก็จะไม่ใช่แค่ห้าหรือสิบเปอร์เซ็นต์อีกต่อไป
แต่ในระหว่างการหนี พวกเขาก็ได้พบกับตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งกำลังลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้น
มีการปะทะกัน และก่อนที่จะหายตัวไป โรนัลโด้ก็ได้แอบฉกเอา [ความลับ] มาจากคนพวกนั้น-------------------------------------------------
และยังมี <โค้ดลับ> ใน [ความลับ] ซึ่งใน Box ลับของโรนัลโด้ไม่ได้ลงข้อมูลอะไรเอาไว้นอกจากชื่อของมัน
กับรายละเอียดที่กล่าวว่า มันน่าจะเป็นข้อมูลสำคัญ-------------
ฮิบิกิครุ่นคิด
บางที-------------- <โค้ดลับ>
ที่โรนัลโด้มีอยู่ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่อาจใช้เปิดเผยตัวตนของกลุ่มคนที่
JP’s กำลังต่อกรก็ได้
แต่อย่างที่พูด------------
ทุกอย่างที่เขาคิดเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานโดยคาดการณ์จากหลักเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้
ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันความถูกต้องอะไรใดๆ ทั้งนั้น
ดังนั้น ฮิบิกิจึงยังไม่บอกยามาโตะ--------------------------
ตราบใดที่เขายังไม่มั่นใจ
ฮิบิกิยืนหยุดอยู่ตรงทางม้าลาย ผู้คนมากมายอยู่ฝากเดียวกับเขา และอีกมากหยุดอยู่ที่อีกฝั่งที่ต้องเดินสวนกัน
รถราพุ่งผ่านไปเสมือนสายน้ำ วูบหนึ่ง ฮิบิกิรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีใครเลือกนอกจากตนเอง
เชื่อใจใครไม่ได้ ไว้ใจใครไม่ได้ และเมื่อหน้าสัญญาณไฟสำหรับให้คนเดินเปลี่ยนเป็นสีเขียว
คนจากฝั่งตรงข้ามเริ่มก้าวข้ามฟาก เช่นเดียวกับฮิบิกิที่ก้าวข้ามไปบ้าง
ตี๊ด------------------------------------------------------------!
เสียงปรับสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ JP’s ที่ฮิบิกิวานช่วยติดตามดูการเคลื่อนไหวรอบตัวเขาแทรกเข้ามา
เจ้าหน้าที่สาวบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
- รีบถอยออกมาเดี๋ยวนี้ค่ะ!! คุณฮิบิกิ!!! -
แสงสว่างส่องวาบจากด้านข้าง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน ภาพต่อมาของฮิบิกิคือคอนเทนเนอร์สีขาวของคันรถบรรทุกขนาดยี่สิบเมตรที่กำลังหมุนอยู่กลางอากาศและกลิ้งลงมาบนเส้นทางที่เด็กหนุ่มกำลังข้ามไป
และด้วยระยะแบบนี้----- หลบไม่ทันแล้ว!!
“?!!!”
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!
โครม!!
.+..+..+..+..+..+..+..+..+.
“เฮ้อ ถ้ามีงานทำเหมือนอย่างฮิบิกิแล้วก็ดีน่ะสิ
จะได้ไม่ต้องมาเรียนแล้วก็สอบอะไรแบบนี้”
เสียงบ่นเซ็งๆ จากไดจิเรียกเพื่อนหนุ่มที่นั่งข้างๆ
ถามอย่างสนอกสนใจใจ “อ้าว แล้วเพื่อนนายทำงานอะไรล่ะ? ส่งของเหรอ?”
เดี๋ยวนี้แค่การเรียนระดับมัธยมปลายมันไม่เพียงพออีกแล้ว ถ้าอยากจบมาได้อาชีพดีๆ
ก็ต้องสู้กัดฟันไปให้ไหวจนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัยเท่านั้นล่ะ แต่ถ้าไม่
ก็คงได้งานเล็กๆ น้อยๆ อย่างส่งของเดลิเวอร์รี่อะไรเทือกนั้น
“อืมมม ไม่รู้สิ”
ไดจิแนบหน้าลงกับโต๊ะ “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหมอนั่นทำอะไรเหมือนกัน-----
แต่เป็นงานที่มีเวลาเลิกไม่สม่ำเสมอ บางครั้งก็โดนโทรตามบ้างล่ะ
โดนเรียกจุกจิกจู้จี้------ และก็เป็นงานที่ได้เงินเดือนเยอะด้วย” ไดจิถอนหายใจ “อย่างเมื่อครั้งที่แล้ว
อุตสาห์นัดกันมาเที่ยวแท้ๆ ท้ายที่สุดก็ต้องกลับบ้านก่อนเพราะต้องไปทำงานอีกจนได้”
ใช่ว่าไดจิไม่รู้ หลายครั้งที่ฮิบิกิขอกลับบ้านก่อน
เขาก็รู้ว่าเป็นเพราะมี ‘คน’ โทรตาม---- และแน่ๆ
ไม่มีทางใช่คนที่บ้านแน่นอน
ในเมื่อบ้านของฮิบิกินั้น-----------------------------------------------
เฮ้อ-------------
ไม่อยากนึกถึงเลยจริงๆ----------------------------------
“นายมั่นใจรึเปล่าว่าหมอนั่นไม่ได้มีแฟน ไม่แน่
หมอนั่นอาจแวะไปหาแฟนก็ได้----------------------------------?”
“ไม่มีทางซะหรอก!” ไดจิยืนยันเสียงดัง
“คนอย่างฮิบิกิน่ะ ไม่มีทางมีแฟนก่อนฉันแน่ๆ” คนมีสกิลเรื่องความสัมพันธ์ต่ำระดับเด็กประถมยังอายอย่างฮิบิกิ
ถ้ามีหญิงก่อนเขาได้ เขาจะไม่ขอใช้ชื่อ นิจิมะ ไดจิ อีก!
“พูดเหมือนกับว่านายมีคนที่ชอบแล้วงั้นแหละ”
ไดจิหน้าแดงแจ๋ ถูแก้มแรงๆ “ปะ เปล่าซะหน่อย”
เพื่อนในเซ็คเรียนยิ้มล้อๆ “นั่นแน่ะ
มีสเปคในดวงใจแล้วอะดิ สวยปะ”
“ก็---------” ไดจินั่งเกาหัว
แก้มแดงระเรือด้วยความขัดเขิน “สวยมากๆ เลยล่ะ แถมยังใจดี
อ่อนโยน นางฟ้าชัดๆ”
“หืมมม รสนิยมไม่เลวนี่”
เพื่อนชายในเซ็คเรียนเดียวกันพูดเปรยๆ ขึ้นมา “แต่ฉันว่าไม่แน่นะ
บางทีเพื่อนของนายที่ชื่อฮิบิกิอะไรนั่นอาจทำงานอย่างว่าก็ได้ ในเมื่อหมอนั่นไม่ได้เรียนต่อมหาลัย
และยังต้องทำงานที่ต้องถูกเรียกตัวบ่อยๆ ตามสายเรียกโทรศัพท์อย่างที่นายว่า
เพื่อนนายอาจเกาะผู้หญิงกิ------ โว๊ะ! ทำบ้าอะฟะ!!”
ไดจิแยกเขี้ยว มือยังคงถือขวดน้ำเปล่ากลวงๆ ส่วนน้ำน่ะหรือ
เทสาดใส่คนข้างกายไปแล้ว
“ฮิบิกิไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด!
หมอนั่นน่ะ ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง ดูดีกว่านายเป็นสิบเท่า ต่อให้หมอนั่นไม่เรียน
ฮิบิกิก็สามารถไปตามทางของตนเองได้!”
ใครหลายๆ คนอาจคิดว่าไดจิเป็นคนขี้ขลาด ใช่ เขายอมรับ
เขาอาจเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เพื่อนของเขาต้องโดนว่าเด็ดขาด! ฮิบิกิเป็นคนดี ตอนเด็กๆ หมอนั่นยังต้องให้เขาช่วยป้องกันใครจะมารังแกเลย! และเมื่อไหร่ที่ไดจิไม่เข้าใจบนเรียนหรืออะไรๆ ฮิบิกิก็จะมาสอนเขา
ฮิบิกิไม่เคยทิ้งเขาไป เวลานัดเจอกัน ถึงไดจิจะชอบมาสาย ฮิบิกิก็จะยิ้มรับ
แล้วบอกว่าไม่เป็นไรเสมอ
คนแบบนั้นไม่มีทางทำอาชีพอะไรแบบนั้นหรอก!
“ถ้าไม่รู้จักหมอนั่นดีพอ ก็อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ!!”
“เฮ้ย นี่ฉันแค่พูดเล่นๆ เอง เก็บมาคิดจริงจังไปไ---”
“ฉันไม่อยากนั่งกินข้าวกับนายแล้ว!”
ไม่แม้แต่จะฟังคำแก้ตัวของเพื่อนร่วมเซ็คที่เพิ่งสำนึกว่าตนได้ไปเหยียบกับระเบิดลูกใหญ่เข้า
ไดจิสาวยาวๆ เดินไปที่โรงอาหารด้วยอารมณ์เดือดดาลจัด
“คุณน้า ผมขอแกงกะหรี่ชุดใหญ่ครับ!”
ไดจิรับแกงกะหรี่สั่งพิเศษมาแล้วจ้วงกินด้วยอารมณ์หงุดหงิดสุดๆ อา
ตอนนี้ทำอะไรเขาก็รู้สึกหงุดหงิดไปหมด! แม้แต่เจ้าหน้าที่นำเที่ยวในชุดวาบหวิวสุดเซ็กซี่บนจอทีวีไดจิยังรู้สึกรำคาญเลย!
ไม่ไหวแล้ว------------! เด็กหนุ่มทนไม่ไหว ลุกขึ้นเตรียมเดินไปปิดทีวี
ตอนนั้นเอง--------
‘ต่อไปนี้ เราจะทำการถ่ายทอดสด และพาพวกท่านไปชื่นชมความงามของชินจูกุกันนะค่ะ
ที่นี่มี---- กรี๊ดดดดดดดด’
เจ้าหน้าที่นำเที่ยวส่งเสียงกรี๊ดลั่น
เรียกสายตาทุกคู่ในโรงอาหารให้จดจ่ออยู่กับรถบรรทุกขนาดยาวยี่สิบเมตรกำลังกลิ้งหมุนลุ่นๆ
ด้วยความเร็วสูง กวาดทุกอย่างทั้งรถทั้งคนที่กำลังเดินข้ามถนน
โดนมันทับตายเป็นศพแบนเละๆ
ที่พาลให้คนในโรงอาหารแทบอาเจียนของที่ตนเพิ่งรับประทานไปหมาดๆ
แต่สิ่งที่ตรึงสายตาไดจิที่สุด---------------
ในชั่ววินาทีหนึ่งที่ภาพในเลนซ์กล้องของช่องถ่ายทอดสดได้ปรับซูม
จนสามารถจับภาพวงหน้าอันคุ้นเคยของเพื่อนสมัยเด็กใต้ฮู้ดกระต่ายสีดำที่กำลังเบิกตามองอย่างตื่นตระหนก
ส่วนของคอนเทนเนอร์รถบรรทุกกลิ้งพลิกลงมาทับร่างโปร่งที่ดูเล็กถนัดตาเมื่ออยู่ต่อหน้าคอนเทนเนอร์ที่บรรจุของหนักหลายตัน
ไดจิแทบจะหยุดหายใจ
“ฮิบิกิ!!!!!!”
....................................................................
........................................
...................
...
.
TBC
No comments:
Post a Comment