หน้าเว็บ

Thursday, March 3, 2016

月曜日: Monday of Peculiarity ①


.+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+..+...+..+..+..+.



月曜日
Monday of Peculiarity


[Let’s survive]





หนึ่งปีผ่านไป
ห้าง Q
"ไดจิทำอะไรอยู่นะ" เด็กหนุ่มผมสีดำหยักศก ดวงตาสีฟ้าบนวงหน้าดูอ่อนเยาว์น่ามองเป็นส่วนผสมที่ลงตัวได้อย่างเหมาะเจาะกับเสื้อกันหนาวสีขาวแบบมีฮู้ดหูกระต่ายแถบสีฟ้า เด็กหนุ่มกวาดสายตาหาเพื่อนสนิทที่ยังไม่มีวี่แววจะมาถึงเสียทีสลับกับมองเวลาบนมือถือ
"อา โทษๆ ที" เสียงดังมาจากด้านหลัง ในที่สุดเพื่อนของเขาก็มาถึงเสียที
ชิจิมะ ไดจิ เพื่อนร่วมชั้นสมัยเด็ก และยังเป็นเพื่อนสนิทของคุเสะ ฮิบิกิที่มายืนรอเก้ออยู่หน้าโรงหนังได้ประมาณสิบห้านาทีแล้ว
ไดจิยืนหอบหายใจเหนื่อย "ไม่คิดเลยว่าวันนี้รถจะติดขนาดนี้ อูย ร้อนจริงๆ"
วันนี้เป็นวันที่ 28 เดือนสิงหาคม ช่วงหน้าร้อนขั้นทรหดของญี่ปุ่น คนมักไม่นิยมอยู่บ้าน แต่จะมาเดินตากแอร์กันในห้างเป็นซะส่วนใหญ่ ไดจิเลยถือโอกาสนี้ชวนฮิบิกิมาเที่ยวในห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่โดยไม่ลืมที่จะตะล่อมนิตตะ อิโอะ เพื่อนสาวที่เคยเรียนกันอยู่คนละห้องมากับตนด้วย แม้ตอนขอไดจิจะดูเงอะๆ งะๆ เอาแต่ขัดเขิน จนฮิบิกิทนมองเพื่อนตนเองไม่ไหว เอ่ยปากขอให้อิโอะด้วยตนเอง  
"ก็ตอนนี้ช่วงสิ้นเดือนนี่นา" ฮิบิกิตอบอย่างใช้หลักเหตุและผล "รถติดก็ไม่แปลก" พนักงานกินเงินเดือนถ้าไม่เอาเงินตอนช่วงสินเดือนแล้วจะเอาตอนช่วงไหนล่ะ?
"นี่ ฉันอุตสาห์จอดรถไว้อีกที่แล้ววิ่งมาแทนเลยนะเนี่ย" ไดจิปาดเหงื่อบนหน้าผาก เส้นผมสีน้ำตาลสลวยชุ่มหยาดเหงื่อเป็นประกาย แต่อันที่จริง ต่อให้ไดจิไม่บอก ฮิบิกิก็พอเดาได้อยู่ลางๆ สังเกตจากใบหน้าแดงก่ำเพราะอุณหภูมิในร่างกายที่พุ่งสูงกว่าปกติ ดูก็รู้ว่าไม่ได้นั่งรถมาเฉยแน่ๆ
"แล้วนายเร็วขนาดนี้ได้ยังไง ตอนแรกฉันนึกว่านายจะเลิกงานช้าซะอีก"
"อา" ฮิบิกิร้องอา เขามีคำตอบอยู่ในหัวนะ เพียงแต่เขาตอบไดจิออกไปตรงๆ ไม่ได้ "เพื่อนร่วมงานมาส่งน่ะ----- ที่สำคัญที่ทำงานของฉันเองก็ตั้งอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ เลยไม่มีปัญหาเรื่องระยะทางน่ะ" เขาไม่ได้พูดโกหกซะหน่อย แค่พูดความจริงออกไปหมดเท่านั้น
"นายนี่น่าอิจฉาจังเลยนะ" ไดจิบ่นเซ็งๆ ไม่จริงจัง "แล้วคุณนิตตะล่ะ" เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวา "ไม่ใช่ว่าเธอจะมาด้วยเหรอ" วันนี้เขาอุตสาห์แต่งตัวดูดีกว่าวันอื่นๆ เพราะเห็นว่าอิโอะจะมาเลยนะ
"ฉันบอกให้เธอเข้าไปในโรงหนังแล้ว" 
จะให้อิโอะที่เป็นผู้หญิงมายืนข้างๆ เขาตรงหน้าทางเข้าประตูโรงหนังกันสองต่อสองก็ดูๆ แปลกๆ ยังไงชอบกล แม้จะเซนส์ทื่อมากเท่าไหร่ แต่ฮิบิกิก็บอกให้อิโอะเข้าไปรอด้านในก่อน
ไดจิยู่ปาก นายนี่น่า ถ้าเป็นฉัน ฉันคงดีใจจนตัวลอยที่ได้อยู่กับคุณนิตตะสองต่อสอง
มีคนผ่านมาเยอะแยะ ไม่เชื่อนายลองจับเวลานับดูสิ เกินสามสิบคนแน่ๆ คำตอบตรงไปตรงมาของฮิบิกิทำให้ไดจิหมดอารมณ์ขัน
นายเป็นแบบนี้ ต่อไปถ้านายชอบผู้หญิงคนไหน นายจะมีปัญหาเรื่องการจีบหล่อนแน่นา ไดจิกังวลกับเรื่องนี้แทนเจ้าเพื่อนตัวดีจริงๆ ฮิบิกิทั้งเรียนเก่ง ฉลาด หัวดี หน้าตาก็น่าดูไปวัดไปวาเมื่อเทียบกับคนทั่วไปแบบเขา ติดอยู่ตรงที่ว่าเซนส์เรื่องที่ควรจะมีอย่างความสัมพันธ์หญิงชายกลับทื่อสนิท
ฮิบิกิมองตาโต อย่างงั้นเหรอ
"พอเลยๆ ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้กับนายแล้ว" ไดจิหันหน้าไปทางคนพยักงานขายตั๋วตรงเคาน์เตอร์ เห็นคนต่อแถวยาวเหยียด เผลอชักหน้าแปบหนึ่ง "แถวยาวชะมัด กว่าจะซื้อได้คงไม่ได้ดูตอนแรกแน่"
"นายนี่นะ" ฮิบิกิฟาดตั๋วที่นั่งใส่ตบหน้าไดจิเบาๆ "ฉันกับคุณนิตตะซื้อให้นายแล้ว จะไปต่อคิวซื้อทำไมอีก"  
ไดจิลูบหน้าตรงส่วนที่โดนฮิบิกิฟาดตั๋ว และทุบมือ "อ่อ 'โทษทีๆ ฉันลืมไปว่าวันนี้คุณนิตตะมาด้วย"
สมัยตอนยังเรียนอยู่ เวลาฮิบิกิกับไดจินัดกันมาดูหนังกัน ไดจิจะเป็นคนจัดการเรื่องการเลือกที่นั่งอยู่เสมอ เพราะถ้าให้ฮิบิกิเลือกที่นั่งเอง ไม่นั่งอยู่ด้านหน้าที่ต้องแหงนหน้าเมื่อยคอดูตลอดทั้งเรื่อง ก็คงนั่งแยกกันแน่ๆ มันเลยกลายเป็นความสิ่งที่เคยชินที่ตนจะต้องเป็นคนซื้อตั๋วอยู่ตลอดเวลา
เฮ้อ นอกจากจะไม่มีเซนส์เรื่องหญิงแล้ว ยังเป็นคนที่มีปัญหากับการเลือกที่นั่งอีก ช่างเป็นเด็กหนุ่มผู้มีชีวิตน่าเศร้าจริงๆ
"ปกตินายมักบอกเสมอว่านายนั่งตรงไหนก็ได้ และนายก็มักจะเลือกที่นั่งห่วยๆ เสมอ รู้ไหมว่ามันทำให้อรรถรสในการดูหนังหายไปครึ่ง" นานๆ ทีจะเห็นฮิบิกิไม่ชำนาญเรื่องอะไรสักอย่าง โอกาสทองกองอยู่ตรงหน้า ไดจิอดไม่ได้ที่จะหยอกฮิบิกินิดๆ นี่สิถึงจะเป็นเพื่อนรักตัวจริง
ฮิบิกิไม่พูดอะไรเพียงกลับหลังหัน เดินนำไดจิ พูดเสียงนิ่งๆ เก๊กเสียงขรึมดูเย็นชา "งั้นฉันทิ้งนายแล้ว" มือโบกตั๋วขึ้นสูงเหมือนกับจะสื่อว่าตั๋วนายอยู่กับฉัน
ไดจิโวยวายลั่น "เฮ้! รอด้วยสิ ฮิบิกิ!!" 
ถ้าไม่มีตั๋วเข้า เขาก็เข้าไม่ได้น่ะเซ่!
ไดจิรีบวิ่งตามฮิบิกิที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่พอหันไปเห็นใบหน้าตื่นๆ ของไดจิ สุดท้ายฮิบิกิก็หลุดมาดขรึมเปล่งเสียงหัวเราะใสกังวานออกมาในที่สุด 

.+..+..+..+..+..+..+..+..+.

"อ้าว คุณนิตตะหายไปไหนล่ะ" 
ไดจิที่กำลังเดินอารมณ์ดีเข้ามาในโรงหนังอย่างสงบเสงี่ยม เด็กหนุ่มมองเก้าอี้ที่คาดว่าน่าจะมีเด็กสาวนั่งอยู่ก่อนแล้วแต่มันกลับว่างเปล่า เด็กหนุ่มกวาดสายตามองหาสักพักในความมืด "สงสัยไปเข้าห้องน้ำล่ะมั่ง"
"ฉันว่ามันแปลกๆ นะ" ฮิบิกิมองไดจิ ดวงตาสีฟ้ากระจ่างแฝงความจริงจัง "ฉันจำได้ว่าตอนที่มาถึง เธอเข้าห้องน้ำไปครั้งหนึ่งแล้ว ถ้ากะเวลาก็น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนนี้เอง" ความทรงจำของฮิบิกิไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน ไดจิเชื่อแบบนั้นได้ยืนงุนงง
ลองโทรได้ไหม
โทรแล้ว ไดจิมองโทรศัพท์ ดูเหมือนเธอจะปิดเครื่องเอาไว้
โฆษณาใกล้จะจบแล้ว หนังก็ใกล้จะเริ่มฉายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
"คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับเธอในระหว่างที่เราไม่อยู่ใช่ไหม" ไดจิพูดเล่นๆ แต่ฮิบิกิกลับชักสีหน้าจริงจังจนไดจิล้อเล่นไม่ออก
ฉันว่าเราลองไปตามหาเธอดูก่อนดีกว่า น่าจะอยู่แถวๆ นี้ล่ะ ฮิบิกิกับไดจิเดินออกมาจากห้องฉายหนัง บนทางเดินปูพรมแดงที่แยกออกไปเป็นสองทาง ฮิบิกิชี้ไปทางด้านหน้า อาจจะไกลหน่อย แต่นายลองไปดูห้องน้ำด้านหน้าดูนะ ส่วนฉันจะไปดูส่วนด้านหลังให้ ถ้ามีอะไรให้โทรติดต่อมา ฮิบิกิหมุนตัว ก้าวลิ่วๆ ไปตามทางที่ได้ (บังคับ) ตกลงกันไว้
ไดจิรับปาก ได้ ก่อนชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก พลันแก้มขึ้นสีระเรื่อ
ถ้าเขาจำไม่ผิด พนักงานได้บอกว่าห้องน้ำด้านหลังเป็นห้องน้ำรวมชายหญิง แต่ด้านหน้า--- มันห้องน้ำแยก--------
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ฉันเป็นผู้ชาย แล้วฉันจะเข้าห้องน้ำผู้หญิงได้ยังไงเล่า! เจ้าบ้าฮิบิกิ!!”
โดนเล่นเข้าจนได้!!

.+..+..+..+..+..+..+..+..+.
               
                ห้องน้ำด้านหลัง----- ไม่เจอ--------------------
                เธอหายไปอยู่ไหนนะ อิโอะ-------------------?
ฮิบิกิตัดสินใจเดินเข้าไปในส่วนทางเดินของบันไดหนีไฟ เด็กหนุ่มไล่สายตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนขณะเดินหา รำลึกถึงแบบแปลนของโรงหนังที่มีแปะเอาไว้คร่าวๆ ก่อนทางขึ้นบันไดเลื่อน ต้องขอบคุณความจำแสนยอดเยี่ยมเพราะมันทำให้ฮิบิกิเดินไปไหนมาไหนได้โดยไม่หลงทาง แถมยังกลับมาบนทางเดินของโรงหนังได้โดยไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนจับได้
แต่--------- ก็ไม่เจอ-----------------------------
นอกจากนี้ บางทีอิโอะอาจจะไม่ได้อยู่ที่ห้องน้ำด้านหน้าที่เขาวานให้ไดจิไปดูด้วย ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ไดจิคงโทรมาแล้ว---------------------
ไม่สิ--------- ตอนนี้เขาเปิดโหมดเครื่องบินอยู่นี่น่า----------
เพราะมีกฎว่าระหว่างดูภาพยนตร์ห้ามเปิดโทรศัพท์เด็ดขาด ไม่ก็ต้องเปิดโหมดใช้งานเครื่องบินตามมารยาท ฮิบิกิที่เคร่งครัดและยึดมั่นในกฎของสังคมก็เผลอลืมตัวไปซะสนิท
ฮิบิกิเร่งฝีเท้า ระหว่างเลื่อนปิดโหมดใช้งานบนเครื่องบินด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก
ทันใดนั้น โทรศัพท์ที่ปิดโหมดใช้งานบนเครื่องบินก็ส่งเสียงสั่นครืน---------- ทันที
-----------มีคนโทรมาหาเขาในระหว่างที่เขาปิดเครื่อง
ฮิบิกิกดเช็คข้อความและชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ดวงตาสีฟ้ากระจ่างไล่ไปตามรายชื่อ ในใจนึกหวังว่าอาจจะเป็นอิโอะ แต่ไม่ใช่ เพราะข้อความที่เขาได้รับหนึ่งคือข้อความอัตโนมัติจากการที่มีใครพยายามโทรหาเขาตอนเขาปิดเครื่องและคนคนนั้นก็คือ ซาโกะ มาโคโตะ มือขวาของผู้นำ JP’s คนปัจจุบัน และอีกหนึ่งข้อความสั้นๆ ในกล่องจดหมายของ ซาโกะ มาโคโตะที่ทำให้ฮิบิกินึกอยากเอาหัวโขกกับกำโทรศัพท์ของตัวเองให้ตายให้จงได้
.+*+..+*+..+*+..+**+. .+*+..+*+..+*+..+**+. .+*+..+*+.
[From Sako Makoto-----------------------------------------
To Kuse Hibiki                         Time: [29.04.XX; 17.51]
:::::::::::::: คุเสะ ฮิบิกิ ผบ. เรียกตัวเธอ เดี๋ยวนี้ :::::::::::: ]
.+*+..+*+..+*+..+**+. .+*+..+*+..+*+..+**+. .+*+..+*+.

ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเป็นผบ.ที่คุณมาโกโตะพูดถึงหมายถึงใคร
เฮ้อ
ฮิบิกิปิดฝาพับลงกระเป๋า เป็นอีกครั้งของวันที่เด็กหนุ่มเผลอหลุดถอนหายใจออกมา
ไม่ได้เป็นเพราะเหนื่อยล้า แต่เป็นเพราะรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจที่พอเจอกันทีไร งานนี้มีเรื่องให้ถกเถียงกันอีกได้ทุกที
ถึงจะผ่านไปหนึ่งปีหลังจากวันนั้นแล้ว แต่เอาเข้าจริง หมอนั่น ก็ยังดูเป็นจอมบงการเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
ตี๊ด----------- ตี๊ด-------------------- สายเรียกเข้านี้เป็นของไดจิ
ฮิบิกิกดรับโทรศัพท์ในมือ เป็นไง
//นายอยู่ไหนน่ะ ฮิบิกิ!!// น้ำเสียงร้อนรน กระชากห้วนกว่าปกติของไดจิที่มักขี้เล่นอยู่เป็นประจำ ฮิบิกิสังหรณ์ใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่
//ไดจิ เจอคุณนิตตะเจอแล้วเหรอ//
//เจอแล้ว อยู่ที่ห้องน้ำนี่ล่ะ//
ฮิบิกิถอนหายใจโล่งอก เตรียมพูดว่าดีจังเลยที่ไม่เป็นอะไร แต่คำพูดต่อมาของไดจิกลับทำให้ฮิบิกิรู้สึกเหมือนหูอื้อไปสักพัก
//เธอโดนขังอยู่//
ว่าไงนะ!!? ฮิบิกิหลุดเสียงดัง สายตาหลายคู่มองมาที่เขาเป็นหนึ่งเดียวและไม่สนใจเขาอีก นับโชคดีที่ตอนนี้ฮิบิกิยืนอยู่บริเวณที่คนไม่พลุ่กพล่านมาก นอกจากนี้เวลานี้ยังเป็นเวลาเดียวกับที่หนังทุกม้วนกำลังฉายอยู่ คนที่นั่งเอ้อระเหยอยู่แถวนี้ส่วนใหญ่เลยถูกมองว่าเป็นพวกดูหนังเสร็จแล้วมาตากแอร์ฆ่าเวลาเสียมากกว่า
ไดจิ มันเกิดอะไรขึ้น
//คุณนิตตะบอกว่าเจอเพื่อนที่มหาลัยแกล้ง// ไดจิอึกอัก //ฉันพาเธอออกมาแล้ว เพียงแต่ว่า----- ฮิบิกิ ฉันคิดว่านี่ต้องไม่ใช่ครั้งแรกแน่ๆ ที่คุณนิตตะโดนแกล้งแบบนี้----- ฉัน---------- อยากจะช่วยเธอ--------------------//
ฉันกำลังรีบไป ไดจิ ฮิบิกิกดตัดวางสายขณะวิ่งลงบันได ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในห้องน้ำหญิงอย่างไม่สะทกสะท้าน
เข้าไปด้านใน ฮิบิกิเห็นไดจิพยุงตัวอิโอะที่เดินกะเผลกขาช้ำออกมาจากห้องน้ำห้องในสุด ทอดสายตาไปด้านใน ฮิบิกิจึงเห็นว่าห้องที่อิโอะโดนขังเอาไว้เป็นห้องน้ำห้องเดียวที่ไม่มีไฟอยู่ข้างบน ทำให้ดูมืดครึมและยังไม้ถูพื้นที่ตกอยู่บนพื้นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นตัวใช้คานขังอิโอะเอาไว้
ใครกล้าทำอะไรแบบนี้!
ครู่หนึ่งที่ฮิบิกิรู้สึกโกรธมาก ก่อนที่ความรู้สึกร้อนในอกจะถูกบั่นทอนลง ยามตระหนักถึงความจริงที่ว่าต่อให้โกรธไป ก็ไม่อาจทำให้อะไรดีขึ้นอยู่ดี
ฮิบิกิก้าวไปพาอิโอะที่หน้าซีดกว่าปกติ ข่มความไม่พอใจไว้ และส่งยิ้มให้ดั่งเดิม
เราไปคุยกันต่อด้านนอกเถอะ

.+..+..+..+..+..+..+..+..+.

ขาช้ำนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ นิตตะ อิโอะบอกเสียงอ่อนหวาน ปราศจากความตื่นตระหนกแบบเมื่อครู่ แต่ยิ่งเห็นเธอกลับมาทำตัวเป็นปกติได้เร็วเท่าไหร่ ฮิบิกิกับไดจิกลับยิ่งรู้สึกเจ็บใจ
สำหรับอิโอะ นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเคยชินเสียแล้ว
พวกเขาสามคนเดินออกจากโรงหนัง ไม่มีกะจิตกะใจจะดูต่อ ไดจิประคองอิโอะมานั่งพักตรงเก้าอี้สาธารณะในห้างที่หลังมุมเสาห่างไปไม่ไกลจากโรงหนัง ไม่กี่นาทีต่อมา ฮิบิกิที่วิ่งไปซื้อน้ำเย็น ส่งน้ำสองขวดให้อิโอะ กับไดจิ  
มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ คุณนิตตะ?
คือว่า--------------- อิโอะเบือนสายตาไปทางอื่น ลังเลว่าควรจะตอบดีหรือเปล่า แต่เมื่อหันกลับมาและยังเห็นว่าดวงตาสีฟ้ากระจ่างเหมือนสีผืนนภานิ่งสงบจดจ้องมาที่เธอ อิโอะก็เผลอกลั้นใจตอบไป ในตอนที่ฉันกำลังนั่งดูหนังอยู่ เพื่อนฉัน----- ฉันหมายถึงกลุ่มเพื่อนที่มหาลัยเขาเรียกฉันออกไปห้องน้ำ แล้วผลักฉันไปด้านในสุดจนขากระแทกกับชักโครกน่ะจ้ะ แล้วก็--------------------
ฮิบิกิพูดต่อเสียงเรียบ เปลือกตากระตุกถี่ โดนขังไว้----- สินะ-----?
อิโอะพยักหน้าตอบรับเงียบๆ นั่นทำให้ไดจิแทบทนไม่ได้
อ๊า!! ทำไมเธอต้องยอมถูกคนพวกนั้นแกล้งเอาด้วยล่ะ อิโอะน่ะไม่มีทางทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจแน่ๆ เจ้าพวกนั้นทำไปเพราะอิจฉาเธอหรือเปล่า!? ไม่สิ ไอ้การแกล้งคนอะไรแบบนี้ยังมีหลงเหลืออยู่ในรั้วมหาลัยด้วยหรือ? คิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กไม่โตกันรึไง!!” ไดจิโกรธจัดกระทืบเท้าปึงปัง ระบายอารมณ์ผ่านคำพูด คอยดูนะ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นใคร ฉันไม่ปล่อยไว้แน่!”
อิโอะที่ได้รับฟังรู้สึกตื้นตันใจนัก การที่มีคนให้ความสำคัญกับเธอมากมายขนาดนี้ สามารถเจ็บแทน และโกรธแค้นแทนกันได้มันทำให้เธอรู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่ใจหนึ่งก็รู้ว่าถ้าเธอเผลอร้องไห้ล่ะก็ไดจิคงเผลอเข้าใจผิดและไม่มีทางหยุดอาละวาดแน่
อิโอะยิ้มรับ อารมณ์ดีขึ้นมากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ขอบใจนะจ๊ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ
และยังคงเป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึก ขอบคุณ
ดีจริงๆ ที่พวกเราได้เจอกันใต้สถานีรถไฟในครั้งนั้น--------
ฮิบิกินั่งลงข้างๆ เธอ คุณนิตตะรู้หรือเปล่าว่าคนพวกนั้นทำแบบนั้นทำไม
คำถามของฮิบิกิทำให้อิโอะนิ่งไปสักพักหนึ่ง คือว่า-------
....................................................................
........................................
...................
...
.
สรุปก็คือเรื่องมันเกิดมาจากผู้ชายคนเดียวสินะ ไดจินวดขมับที่เหมือนจะปวดจี๊ดๆ แล้วผู้ชายคนนั้นไม่ทำอะไรเลยรึไง ไดจิหมั่นเขี้ยวจดชื่อ เจ้าเด็กเวร ขึ้นบัญชีดำ จัดการเสน่ห์ของตัวเองไม่เป็น จนสุดท้ายต้องทำให้คุณนิตตะต้องเดือดร้อน ถ้าเจอหน้าล่ะก็ฉันจะไล่เตะตูดมัน!”
ได้ยินคำมั่นหมายหนักแน่นจากไดจิ อิโอะยิ้มแห้ง แต่เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ หรอกนะ
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อสามเดือนก่อน มี เด็กใหม่ ย้ายเข้ามาในมหาลัยที่เธอกำลังเรียนอยู่กะทันหัน ในตอนแรกอิโอะก็ไม่ได้รู้จักเขาหรอก เพียงแต่เพราะเจอหน้ากันบ่อยที่เรียนฝึกซ้อมเลยทำให้อิโอะพอได้ยินกิตติศัพท์อยู่พอสมควร ผนวกกับวงหน้าหล่อเหลาทำให้เป็นที่โด่งดังในหมู่สาวๆ
แล้ววันหนึ่งเมื่อช่วงสองเดือนก่อนก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน! เด็กใหม่คนนี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับบอกว่าอยากคบกับเธอ แม้จะโดนอิโอะบอกปฏิเสธไปแล้ว ก็ยังตามตื้อเธอไม่เลิก ถ้าเป็นคนอื่น อิโอะคงเอ่ยปากไล่ แต่เขาเป็นคนที่สุภาพ ไม่ได้ทำอะไรรุ่มร่ามกับเธอเลยสักครั้งอิโอะเลยไม่รู้จะใช้เหตุผลอะไรหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย และในบางครั้งที่เธอเหงาๆ เขาก็จะเดินมาคุยกับเธอ จนบางครั้งอิโอะก็นึกว่าตนกำลังคุยอยู่กับเพื่อนมากกว่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังตามจีบ   
แต่-------- ดูเหมือนบรรดาสาวๆ จะไม่คิดแบบนั้น--------------------
ฉันว่าอย่างน้อยเธอต้องบอกเรื่องนี้กับผู้ชายคนนั้นเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องเจ็บตัวไปเรื่อยๆ น่ะสิ ฮิบิกิแนะนำ เขาอยากให้อิโอะแก้ปัญหานี้ให้รวดเร็วที่สุด
ถึงแม้ฮิบิกิจะเซนส์ทื่ออย่างที่ไดจิบอก แต่ฮิบิกิก็มั่นใจว่าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ กลุ่มเด็กผู้หญิงพวกนั้นก็อาจจะกลั่นแกล้งอิโอะรุนแรงขึ้น เหมือนครั้งนี้ที่มันดูโจ่งแจ้งเกินไปเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่อิโอะเคยเล่าให้ฟัง
ได้แต่หวังว่าจะมันจะไม่รุนแรงไปยิ่งกว่านี้
ไดจิพยักหน้า กอดอก เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเสนอของฮิบิกิ ใช่ๆ พูดเปิดอกตรงๆ ไปเลยจะดีกว่า คุณนิตตะไม่ต้องกลัวนะ จากที่ฟังที่คุณนิตตะพูดมา ฉันว่าอย่างน้อยหมอนั่นก็ไม่น่าใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก น่าจะรับฟังความคิดของคุณนิตตะแหละ แต่ถ้าเจ้านั่นแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองไม่ได้ คุณนิตตะก็เลิกยุ่งกับคนแบบนั้นไปเลย ไดจิทุบโต๊ะยืนกรานเสียงหนักแน่น
ทำไมถึงสั่งให้เลิกยุ่งล่ะ คำถามนี้ฮิบิกิเป็นคนถามเอง นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าหมอนั่นน่าจะเป็นคนดี
เพราะลูกผู้ชายที่จัดการบริหารเสน่ห์ตัวเองไม่เป็นไม่นับว่าเป็นลูกผู้ชายหรอก ไดจิเชิดหน้า
ฮิบิกิกะพริบตาปริบๆ นายพูดเหมือนนายเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยนะ ที่พูดออกมานี่ เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยสักนิดนะ เอ๋ แล้วทำไม ไดจิถึงกุมขมับ แล้วถอนหายใจลึกแบบนั้น----------?
ไดจิมองฮิบิกิอย่างอ่อนเพลียกับความซื่อบื้อของเพื่อนสนิท ซึ่งขัดกับนิสัยชอบใส่ใจในความรู้สึกของคนอื่นกันอย่างสุดขั้ว บางครั้งนายไม่ต้องตั้งข้อสงสัยก็ได้นะ ฮิบิกิ เพราะต่อให้ฉันตอบนายไป นายก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
ฮิบิกิมองอย่างงุนงงเล็กน้อย อย่างงั้นเหรอ
คราวนี้ไดจิร้องเฮ้อดังๆ เฮ้อ นายนี่จริงๆ เลย!”
พอเห็นสองคนกลับมาถกเถียงกันอีกครั้ง อิโอะก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะมันเป็นภาพที่ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกอุ่นวาบทุกครั้งที่ได้เห็น โดยไม่รู้ตัว อิโอะรู้สึกเหมือนเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นวันนี้ได้อันตรธานหายไปจากใจของเธอในพริบตา

.+..+..+..+..+..+..+..+..+.

งั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนนะ
เอ๋ จะกลับแล้วเหรอ ไดจิมองนาฬิกาข้อมือ นี่มันเพิ่งทุ่มหนึ่งเอง
พอดีโดนทางบ้านเรียกตัวน่ะ ฮิบิกิโบกมือ วันหลังมานัดกินข้าวตอนเย็นด้วยกันอีกนะ คุณนิตตะ
จ้ะ อิโอะมองแผ่นหลังสีขาวเจ้าของเรือนผมสีดำหยักศกเดินออกจากร้านกาแฟไปด้วยแววตาเหงาหงอยเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เด็กสาวจะซุกซ่อนความรู้สึกของตนเองเอาไว้อย่างแนบเนียน และหันไปคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆ กับไดจิที่สรรหาเรื่องใหม่ๆ มาคุยกับเธอได้ตลอด เรียกเสียงหัวเราะจากเธอได้หลายต่อหลายครั้ง หลังจากคุยเพลินหลายชั่วโมง ไดจิก็พาอิโอะไปส่งหน้าสถานีรถไฟตอนสามทุ่มครึ่ง และเดินทางกลับไปที่ของตน
สี่ทุ่ม... นั่นคือเวลาที่ไดจิกลับถึงบ้าน
และห้าทุ่ม คือเวลาที่ฮิบิกิเพิ่งเดินออกจากห้องประชุมส่วนที่อยู่ใต้ตึกอาคารรัฐสภา สถานที่ที่หน่วยงานลับมีหน้าที่รักษาเขตแดนป้องกันพลังวิญญาณเพื่อรับมือกับผู้มาเยือนต่างโลกและเหตุการณ์ร้ายที่เกิดจากการรุกรานที่ถูกเรียกขานกันว่า JP’s ซึ่งตอนนี้มีหน้าที่หลักๆ คือการรับมือกับอาชญากรรมที่เกิดจากการอัญเชิญปีศาจเสียมากกว่า
คุเสะ ฮิบิกิ เสียงเรียกคุ้นเคยของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบของ JP’s หยุดฮิบิกิที่กำลังเดินไปห้องบัญชาการ
ครับ คุณมาโคโตะ
ทำไมวันนี้ถึงมาสาย ซาโกะ มาโคโตะกอดอก มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเยือกเย็นเหมือนจะตำหนิ เธอถูกเรียกตัวตั้งแต่ห้าโมง สองชั่วโมงที่ผ่านมาเธอไปทำอะไรมา
การประชุมลับสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับกลางถูกจัดขึ้นตอนสองทุ่มโดยมีมาโคโตะเป็นหัวหน้าในการประชุมครั้งนี้ และฮิบิกิซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ JP’s เองก็ต้องมารับฟังแผนปฏิบัติการ เพื่อคิดหาวิธีรับมือปัญหาต่างๆ และป้องกันข้อผิดพลาดในการทำงาน แม้จะเป็นปัญหาเล็กน้อยๆ แต่ก็ไม่พวกเขาก็ไม่สามารถลดกำลังป้องกันลงได้เด็ดขาด
ขอโทษครับ ต่อให้ฮิบิกิอ้างว่าเจออะไรไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดี ดังนั้นฮิบิกิจึงก้มหัวขอโทษมาโคโตะ เพราะส่วนหนึ่ง ฮิบิกิก็รู้ว่าตนทำผิดจริงๆ
ประกายตาแข็งกร้าวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับบรรยากาศตึงเครียดที่ผ่อนบางลง ถึงตามกำหนดการการประชุมจะเริ่มตอนสองทุ่ม และเธอมาทันเวลาก็จริง แต่------ ผบ.เขารอเธออยู่นานแล้ว ถ้าเขามีเรื่องด่วนสำคัญจริงๆ เธอจะทำยังไง------------? มาโคโตะนิ่งค้างไปชั่วครู่ นึกถึงท่าทีของผบ.ตอนสั่งให้เธอเรียกตัว คุเสะ ฮิบิกิ กลับมา มันดูสงบนิ่งและเฉยชาเกินกว่าจะเรียกมาคุยเรื่องด่วน
ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด มาโคโตะก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของผบ.ของเธอได้เลย
แต่ไม่ว่าจะยังไง คราวหลังช่วยรักษาเรื่องเวลาให้ดี ฉันไม่อยากทำโทษเธอสักเท่าไหร่
ไม่เคยมีสมาชิกของ JP’s คนไหนได้รับการลงโทษอย่างจริงจัง นั่นเป็นเพราะผบ.เห็นเรื่องการลงโทษเป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลาอย่างที่สุด ถ้าจะให้ต้องเสียเวลาลงโทษใครสักคน สู้ใช้เวลาตรงนั้นแก้ไขกับปัญหายังจะดีเสียกว่า
ขอโทษครับ ฮิบิกิขอโทษซ้ำอีกครั้ง เขารู้สึกผิดที่ทำให้มาโคโตะต้องมาเป็นลำบากเรื่องของเขา
ฉันรู้ว่าเธอสำนึกผิดแล้ว มาโคโตะหันหลัง เธอรีบไปใส่ชุดเครื่องแบบให้เรียบร้อย และไปหาหัวหน้าซะ เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม ใจหนึ่งมาโคโตะก็รู้สึกเอ็นดู คุเสะ ฮิบิกิ อาจเป็นเพราะเขายังเด็กเมื่อเทียบกับอายุของคนที่ทำงานใน JP’s ส่วนใหญ่ ถึงอย่างนั้นความสามารถและศักยภาพในการอัญเชิญปีศาจที่สูงกว่าระดับคนปกติ ก็ทำให้ JP’s ดึงตัวเข้ามาทำงานจนได้
ครับ รับคำก่อนชะงัก ไตร่ตรองคำพูดของมาโคโตะซ้ำในใจอีกครั้ง และไถ่ถาม สองวันที่ผ่านมา เขาได้นอนไปบ้างรึยังครับ
ฮิบิกิจำได้ว่าเมื่อวันมะรืนที่เขาต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอกตลอดคืน กว่าจะได้นอนก็เกือบๆ เจ็ดโมงเช้าของอีกวัน ในขณะที่หมอนั่นต้องคอยดูแลทุกอย่างจากเบื้องหลัง เฝ้าจัดมาตรการแผนสนับสนุนอยู่ห่างๆ ให้เขากับอีกหลายๆ หน่วยปฎิบัติการตลอดคืน และเมื่อจัดการเรื่องบัญชาการเสร็จก็ยังต้องไปเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานภาครัฐของสภาระดับสูงต่อตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย จากนั้นก็เดินทางไปคุมงานที่โอซาก้าด้วยระบบเทเลพอร์ตซึ่งด็อกเตอร์คันโนะ ฟุมิเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา และเพิ่งกลับมาในช่วงเช้าของวันนี้
มาโคโตะไม่ตอบ หญิงสาวเพียงหลุบตาลง พูดเสียงเบา เขาเป็นแบบนี้เสมอ
เข้มแข็ง โดดเดี่ยว และดูอ้างว้างยิ่งกว่าใครผู้ใด
เพราะคิดว่าตนเป็นผู้แข็งแกร่งกว่า เลยคิดว่าตนจำต้องแบกรับหน้าที่ที่หนักอึ้งยิ่งกว่าใครๆ โดยไม่รู้ตัวกำแพงความต่างชั้นของความแข็งแกร่งในความคิดนั้นก็เป็นตัวสกัดกั้นหัวหน้าของ JP’s กับคนรอบข้างที่พยายามจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เพราะ ณ ตอนนี้-------- คนที่มีความสามารถทัดเทียมกับผู้นำของ JP’s ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
ฉันขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้ คุเสะ ฮิบิกิ
ลับหลังการจากไปของมาโคโตะ ฮิบิกิเดินไปที่ห้องล็อคเกอร์ เปลี่ยนเสื้อผ้าขณะครุ่นคิดอะไรบางอย่างเพียงลำพัง
ความเงียบสงัดโรยตัวอย่างเงียบงันในช่วงเวลานี้ ทำให้หัวของฮิบิกิราวกับจะขาวโพลนไปชั่วขณะ ทว่าทุกครั้งที่คราใดหัวเขาว่างเปล่าแบบนี้ สิ่งที่ฮิบิกินึกถึงกลับเป็นแสงสีขาวที่โพลาลิสใช้มันกลืนกินโลกทั้งใบหลังจากที่ฮิบิกิขอความปรารถนาให้ทุกสรรพสิ่งหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสจะ แก้ไข มันด้วยกำลังของตนเอง
การเปลี่ยนแปลง---------------------------------------------------------
ถ้าหากไม่เปลี่ยน ท้ายสุดท้ายฝันร้ายเหล่านั้นก็จะหวนคืนกลับมา
หลังจัดแจงเครื่องแต่งกายของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ฮิบิกิก้าวถอยหลัง มองภาพสะท้อนของตนเองในกระจก
ร่างโปร่งสวมเสื้อยืดสีดำแขนสั้นกุด คลุมทับด้วยเสื้อคลุมที่ถูกออกแบบมาให้เหมือนกับเสื้อกันหนาวตัวโปรดเพื่อเขาต่างไปจากเดิมตรงที่มันไม่ใช่เสื้อกันหนาวเนื้อบาง แต่เป็นผ้าสั่งตัดเย็บสีดำมีคุณสมบัติในการต้านทานแรงกระแทกหรือการเสียดสีรวมถึงกันไฟ ลายสีฟ้าตามขอบเสื้อถูกทดแทนด้วยสีทองให้เหมาะสมกับเครื่องแบบ JP’s และที่ขาดไม่ได้คือฮู้ดหูกระต่ายสีดำ แถบลายสีทอง
ถึงตอนแรกฮิบิกิจะรู้สึกแปลกๆ กับการออกแบบเสื้อนี่ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสวมเสื้อตัวโปรดอยู่ แม้น้ำหนักของเสื้อนี้หนักกว่าเมื่อเทียบกับเสื้อของเขาอยู่เป็นประจำ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันคือสิ่งที่ตอกย้ำให้เขาตระหนักถึงมัน
ถึงน้ำหนักที่เขาแบกรับอยู่ตอนนี้... และความจริงที่ว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับน้ำหนักที่ หมอนั่น ต้องแบกรับมันไว้ตลอดทั้งชีวิต
แต่ตอนนี้ ไม่ใช่อีกแล้ว--------------------------------------------------
ฮิบิกิกำมือแน่น ตาสบตาในกระจก ไม่หลงเหลือแล้วซึ่งความโลเล
เขาเลยกลับมาที่นี่------------- เพื่อเปลี่ยนมันไปพร้อมๆ กับทุกคน
เริ่มจากก้าวเล็กๆ ของตัวเอง ด้วยความคิดมุ่งมั่น ที่จะเปลี่ยนแปลง
เพื่อ แก้ไขโลกใบนี้-----------------------------
เพื่อยืนเคียงข้าง หมอนั่น อย่างเต็มภาคภูมิ
ไปด้วยกัน---------------------------------------
....................................................................
........................................
...................
...
.
TBC

[月曜日: Monday of Peculiarity ②]
<< Previous 
     [::Last::]

1 comment:

  1. ทำไมยามาโตะยังไม่ออกกกกกกกกกกกก
    กรี๊ซซซซซซ รอฉากฟินๆของคู่นี้อยู่นะคะ
    TTTTT^TTTTTT #ร้องไห้หนักมาก

    ReplyDelete